ปัญหาลูกซน ไม่อยู่นิ่ง มีพัฒนาการผิดปกติ ทำให้พ่อแม่หลายคนเป็นกังวลกลัวว่า ลูกของตนเป็นโรคสมาธิสั้น
รึเปล่า โรคสมาธิสั้นคืออะไร มีอาการแบบไหน และรักษาอย่างไร วันนี้มาติดตามกัน
โรคสมาธิสั้น หรือ ADHD ย่อมาจาก “Attention – deficit hyperactivity disorder” เกิดจากความผิดปกติ
ในการทำงานของสมอง ทำให้มีความบกพร่องในการควบคุมสมาธิและการแสดงออกทางพฤติกรรม พบได้บ่อยในเด็ก
อาการของโรคสมาธิสั้น
เด็กสมาธิสั้นมีอาการหลัก 3 ด้าน คือ
- ไม่สามารถควบคุมสมาธิได้นาน มีปัญหาในการจัดระเบียบ (inattention and disorganized) เช่น
ไม่สามารถทำงานที่ต้องใช้ความพยายามให้สำเร็จลุล่วงได้ ทำอะไรนาน ๆ ไม่ได้ วอกแวกง่าย ทำงานไม่เรียบร้อย สะเพร่า มีปัญหาในการจัดระเบียบการทำงาน มักทำของหาย - ซุกซนมากกว่าปกติ (hyperactivity) เช่น อยู่ไม่นิ่ง เดินไปเดินมา ปีนป่าย หรือพูดคุยตลอดเวลา
- ขาดการยั้งคิดหรือหุนหันพลันแล่น (impulsive) เช่น ไม่สามารถรอคอยได้ ชอบพูดแทรก
การรักษาโรคสมาธิสั้น
- การรักษานั้นต้องอาศัยการรักษาแบบผสมผสานด้วยวิธีการหลายอย่างร่วมกัน เพื่อให้ได้ผลการรักษาดีที่สุด เช่น การใช้ยา
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลาย ๆ ด้าน
- การสนับสนุนและช่วยเหลือดูแลโดยผู้ปกครองและคุณครู
โดยยาที่ใช้ในการรักษาโรคสมาธิสั้น แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
-
กลุ่มยาที่ออกฤทธิ์กระตุ้นสมองและประสาทส่วนกลาง
โดยมีกลไกในการกระตุ้นให้สมองหลั่งสารสื่อประสาทเพิ่มมากขึ้น เช่น ยา Methylphenidate ซึ่งจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น ไม่สามารถหาซื้อตามร้านขายยาได้ โดยยา Methylphenidate มี 2 รูปแบบ คือ
- รูปแบบปกติ ยาออกฤทธิ์ประมาณ 3 – 5 ชั่วโมง จึงมักจะต้องรับประทาน 2-3 ครั้งต่อวัน
- รูปแบบที่ออกฤทธิ์นาน การรับประทานยาชนิดนี้ต้องกลืนยาทั้งเม็ด ห้ามหัก บด หรือ เคี้ยวเม็ดยา และควรรับประทานยาในช่วงเช้า ไม่ควรให้รับประทานเวลาอื่นเพราะยาออกฤทธิ์ยาวถึง 12 ชั่วโมง ซึ่งยา Methylphenidate ทั้ง 2 รูปแบบ มีอาการข้างเคียงเหมือนกัน คือ นอนไม่หลับ
2. กลุ่มยาที่ไม่ออกฤทธิ์กระตุ้นสมองหรือประสาทส่วนกลาง เช่น Atomoxetine, Clonidine,
3. ยารักษาอาการซึมเศร้า
การวินิจฉัยว่าเด็กเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่ จำเป็นต้องอาศัยการซักประวัติอย่างละเอียดร่วมกับการตรวจร่างกาย เพื่อหาสาเหตุอื่นที่อาจทำให้มีอาการคล้ายโรคสมาธิสั้นได้ ดังนั้น หากสงสัยว่าเด็กจะเป็นโรคสมาธิสั้น ควรพาเด็กมาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาต่อไป